Tuesday, March 20, 2007

21 เหตุแห่งความล้มเหลวของท่านกว๋อฉาง

21 เหตุแห่งความล้มเหลวของท่านกว๋อฉาง
รศ.ดร.ปราชญา กล้าผจญ

มนุษย์ต้องทำงาน เมื่อทำงานเสร็จ ก็ต้องการความสำเร็จ หากสำเร็จ ก็ยินดี พอใจหากล้มเหลวไม่สำเร็จก็เสียใจ หดหู่ ท้อถอย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

การทำงานสิ่งใดก็ตาม ทำแล้วต้องมุ่งหน้ากระทำต่อไปให้สำเร็จจงได้ ไม่ท้อถอยเสียโดยง่าย ไม่เลิกละลงกลางคัน มีความบางบั่น มุมานะพากเพียรพยายาม กระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เรื่อยไป หนักๆ เข้า งานใดๆ ก็ไม่สามารถหลีกหนีความพยายามของมนุษย์ไปได้

เมื่อเริ่มทำงานการสิ่งใดก็ตาม หากเริ่มต้นแล้วรู้สึกว่าสะดุดมีลางไม่ค่อยจะดีเสียเปรียบ มีท่าว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ ก็ขอจงอย่าได้ท้อถอย ให้คิดไว้เสมอว่า "เสือเจ็บนั้นไม่ร้อง" เมื่อท่านพบกับปัญหาจงอย่าเอะอะเอ็ดตะโร หรือโวยวายว่า ทำไม่ได้ ๆ ไม่มีทาง ๆ งานนี้ยากเหลือเกิน ใครจะสามารถทำให้สำเร็จได้ ? ซึ่งการร้องแรกแหกกระเชอ พร่ำเพ้อ ไปเช่นนั้น มิได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย แต่หากหุบปากเงียบไว้ ตั้งหน้าตั้งตาลงมือทำ ฝ่าฟันบากบั่นต่อสู้กับภาระหน้าที่งานนั้นเรื่อย ๆ ในไม่ช้า ความสำเร็จก็จะเข้ามาสู่ตัวเราเอง

ท่านกว๋อฉางได้กล่าวถึงเหตุแห่งความล้มเหลวของมนุษย์ไว้ 21 ประการ ดังนี้

1) ไม่เข้าใจผู้อื่น เป็นคนไม่รู้เขา ไม่รู้เรา เอาแต่ตนเองเป็นประมาณ มีความคับแคบในจิตใจ

2) ไม่ประมาณตน สำคัญตนเองผิด ไม่ทราบว่าตนเองอยู่ในสถานะใด ขาดความเจียมตนอยากใหญ่ อยากดัง อาจจะเป็นคนชอบยกตนข่มท่าน อวดใหญ่อวดโต

3) ไม่เดียงสาต่องาน ขาดความรู้ในหน้าที่การงานที่ปฏิบัติ ไม่ได้ร่ำเรียนมาโดยตรง ไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมในเรื่องนั้นๆ ให้เกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง ไม่มีความเข้าใจงาน ไม่เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนต่อการปฏิบัติภารกิจนั้น

4) ขาดความสำนึกรับผิดชอบ ไม่รับทราบว่า ในหน้าที่งานที่ตนเองต้องปฏิบัตินั้น ที่จริงแล้วมีสิ่งใดบ้างที่ตนเองจะต้องรับผิดชอบ หรือแม้จะทราบ แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่ทราบ ไม่ยอมรับผิดชอบงานในหน้าที่ของตน หรือคอยจ้องแต่จะรับ "ความชอบ" ส่วนความผิดนั้น มักปัดสวะให้ผู้อื่นรับเอาไป ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดเสียหายล้มเหลวได้อย่างมากมาย

5) โลภโมโทสัน เป็นคนมักได้ มักเอา เป็นคนขี้ขอ มีโลภะ เป็นเจ้าเรือน เห็นสิ่งใดมีอาการอยากได้มาเป็นของตนในทุกๆ เรื่อง อาการเช่นนี้ เมื่อมีในตนมากเกินไป ทำให้มีสภาพเป็นคนน่ารักเกียจ ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะเขากลับว่า จะไปขอทรัพย์สินของเขานั่นเอง ไร้ซึ่งสัจธรรม คนพูดปด พูดมดเท็จ พูดหลอกลวง พูดเพ้อเจ้อ พูดสับปลับ พูดปากกับใจไม่ตรงกัน ไม่มีคุณธรรมประจำใจ ย่อมไม่มีคนเคารพนับถือ วาจาไม่เป็นที่เชื่อถือแก่ผู้ใดเลย คนประเภทนี้ จะเป็นนักบริหารที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ที่จะเป็นได้ ก็เป็นเพียงคนจรหมอนหมิ่น สิ้นไรซึ่งความดีงามประจำตนเท่านั้นเอง

6) เย่อหยิ่งยโส คนอวดเบ่ง อวดหยิ่งยโสนั้น ไม่มีใครเขาเกรงกลัว และไม่เคารพนับถืออีกด้วย คนที่คิดว่าตัวเองเก่งนั้น ที่จริงเปรียบเสมือนกับคนที่ตายไปแล้ว เพราะคนที่หลงตัวลืมตนนั้นจะไม่ยอมศึกษาค้นคว้าสิ่งไดเพิ่มเติม เนื่องจากหลงตนคิดว่าตนเองเก่งกว่าใครๆ นั่นเอง

7) ก่อหนี้สินล้นพ้นตัว คนประเภทนี้ เป็นพวกหน้าใหญ่ใจโต ไม่ประมาณตน เห็นช้างขี้ก็อยาก ขี้ตามช้าง เห็นเขานั่งคานหาม ก็อยากนั่งบ้าง แต่หาคานหามไม่ได้ เลยต้อง "เอามือประสานก้นแทน"

8) คบค้าคนเสเพล คนที่คบค้าแต่คนพาล คนเสเพล ย่อมจะเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศฉิบหายไปด้วย ในอบายมุข 6 นั้น บ่งบอกว่า อย่าคบคนชั่วเป็นมิตร

9) เกียจคร้านต่อการงาน การขี้เกียจตัวเป็นขน การงานไม่ยอมทำ กระทำตัวประหนึ่ง "ตุ๊ดตู่" ที่ในเรี่ยวในรูช่างอยู่ได้ ขี้เกียจหนักหนาระอาใจ เขาเรียกให้กินหมากไม่อยากพบ คนขี้เกียจระดับนี้เป็นพวก "กินแล้วนอนรอวันเชือดเหมือนหมู" ยิ่งนอนก็ยิ่งอ้วน ยิ่งนอนก็ยิ่งง่วงหนักมากขึ้น และยิ่งขี้เกียจมากขึ้นทุกที ๆ หนักเข้ากลายเป็นคนอดอยากยากจน เกียจคร้านไม่ยอมทำการงานอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน หนักเข้าก็ต้องกลายเป็นยาจกเข็ญใจเที่ยวขอทานเขากิน

10) ทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ การอวดเก่ง การดังด้วยการตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก ทำร้ายคนอื่นเกะกะระรานหาเรื่องราวจากสุจริตชนไปเรื่อย ๆ นั้น เป็นบ่อเกิดความเสียหายในชีวิตของบุคคลและท้ายที่สุดอายุก็มักจะไม่ยืนยาว อีกด้วย มักจะถูกทำร้าย ถูกแก้แค้นให้บาดเจ็บ หรือถึงกับล้มตายเสียโดยง่าย มักจะไม่ได้ตายดี แต่จะกลายเป็น "ผีตายโหง" เสมอ

11) ไร้ซึ่งสัจธรรม คนพูดปด พูดมดเท็จ พูดหลอกลวง พูดเพ้อเจ้อ พูดสับปลับ พูดปากกับใจ ไม่ตรงกัน ไม่มีคุณธรรมประจำใจ ย่อมไม่มีคนเคารพนับถือ วาจาไม่เป็นที่เชื่อถือแก่ผู้ใดเลยคนประเภทนี้ จะเป็นนักบริหารที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ที่จะเป็นได้ ก็เป็นเพียงคนจรหมอนหมิ่น สิ้นไร้ซึ่งความดีงามประจำตนเท่านั้นเอง

12) ใจคอคับแคบ คนจิตใจคับแคบ เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้อย่างที่สุด เรียกได้ว่า "ขนาดอุจจาระเมื่อถ่ายออกมาแล้วยังไม่ยอมให้สุนัขกิน" นั้นเลยทีเดียว คนประเภทนี้ เรื่องที่ใครจะมาขออะไร ไม่มีทางที่จะให้แก่ใครเลย ส่วนทรัพย์สินสมบัติของคนอื่นๆ นั่น ตนเองจะจ้องตาเป็นมันด้วยความอยากได้มาเป็นของตัว และพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ได้มาเป็นของตัว และพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ได้มาเป็นสมบัติของตัวเองให้ได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถาถ้าขอเขาไม่ให้ก็ลักขโมยเอา หรือแย่งชิงเอาซึ่งๆ หน้าก็ทำได้

13) คบคนไม่เลือก คนคบคนไม่เลือกนี้ เป็นคนไม่ฉลาด เป็นคนที่สิ้นคิด คนนั้นมีหลายร้อยจำพวก ที่ดีก็มี แต่ที่ชั่วก็มาก หากคบคนไม่เลือก มีโอกาสสูงมากที่จะได้คนพาล คนเลวทรามมาเป็นมิตร บุคคลเหล่านี้จะปอกลอก ล่อลวง ชักชวน ชักจูงให้หลงผิด อาจจะพาไปติดยาเสพติดไปเที่ยวหญิงคนชั่ว มีโรคร้ายที่สังคมรังเกียจติดตัวมา อายุอาจจะไม่ยืนยาว มงคลสูตรข้อแรก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้บอกไว้ว่า อย่าคบคนพาล แต่จงสมาคมกับบัณฑิต จึงเป็นมงคลอันประเสริฐอุดมดี

14) คิดคดล่อลวง คนคดในข้อ งอในกระดูกนั้น คดในทุกเรื่อง เป็นคนที่ไม่ควรคบหาสมาคมเป็นอย่างยิ่ง คนประเภทนี้ ทำงานสิ่งใดมักจะประสบความล้มเหลวเสมอ เนื่องจากนิสัยที่ชั่วร้ายเลวทรามของเขานั้นเอง มีคำกล่าวสำคัญตอนหนึ่งว่า แม่น้ำคดเคี้ยวก็ควรจร ไม่คดทำศรพอเชื่อได้ เหล็กคดทำเคียวเกี่ยวข้าวใช้ แต่คนคดนั้นไซร้ไม่ต้องการ

15) สุรุ่ยสุร่าย เป็นความเลวทรามชนิดหนึ่งของมนุษย์ ที่มีนิสัยหน้าใหญ่ใจโต มือเติบ จับจ่ายใช้สอยอย่างไม่อั้น ได้น้อย หรือได้มากไม่คำนึงถึง แต่จ่ายมากเข้าไว้ก่อน คำกลอนรุ่นเก่าของสุนทรภู่ว่าไว้ว่า "เป็นผู้ดีมีทรัพย์เที่ยวจับแจก เหมือนเกี่ยวแฝกมุงป่าฉิบหาย" แล้วในที่สุดตนเองก็ต้องล้มละลาย อาจจะต้องถึงขนาดฉิบหายขายตัวไปด้วยกันเลยทีเดียว

16) ไร้อุดมการณ์ บุคคลที่สิ้นไร้ซึ่งอุดมการณ์ ไม่มีจุดยืนที่แน่นอน ไม่มีหลักการใดมา หน่วงเหนี่ยวให้จิตใจยึดมั่นเป็นหลักไว้เสียแล้ว ก็มีสภาพเป็นคนหลักลอย กระทำการสิ่งใดก็ล่องลอยไปเรื่อยๆ ใครทักว่าอย่างไร ก็คล้อยตามไปตามสิ่งที่เขาทักนั้น ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีใครเขายอมรับ นับถือบุคคลประเภทนี้ หากต้องการความสำเร็จอย่างแท้จริงในการทำงานแล้ว ต้องเป็น "คนมีหลัก" หลักที่ว่านี้หมายถึง หลักเกณฑ์ หลักธรรมความประพฤติ มีคุณธรรม จริยธรรมแห่งวิชาชีพ แห่งหน้าที่ การงานของตน

17) ลุ่มหลงการพนัน การพนันนั้น นับเป็นยาเสพติดที่ร้ายแรงที่สุดชนิดหนึ่งสำหรับมนุษย์เมื่อยังไม่เคยเล่น ก็ไม่รู้สึกอะไร เห็นเป็นสิ่งที่ไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่อง ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องวอแวด้วย แต่หากได้เข้าไปเล่นสักครั้งสองครั้งแล้ว อาจลุ่มหลงในเสน่ห์ มนต์มายาแห่งการพนันนั้น ในที่สุดก็ติดงอมแงม วันไหนไม่ได้เล่น ก็เกิดอาการหงุดหงิด กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ตื่นเช้าขึ้นมาก็รีบล้างหน้าล้างตา ไปนั่งรอที่หน้าบ่อน เมื่อมีขาไพ่หรือขาอื่นๆ ครบพอที่จะเล่นกันได้ ก็โจ้กันได้เลยทีเดียวละ ต่อจากนี้ก็แทบจะไม่มีวันเลิกรา ไม่อยากจะจากกันไปเสียเลย ลูกเต้า สามี หรือภรรยานั้นลืมไปหมดแล้ว พวกเขาจะเป็นอยู่อย่างไรก็ช่างหัวมัน จะมีข้าวกินหรือไม่ จะมีเสื้อผ้าใส่หรือไม่จะได้ไปโรงเรียนหรือไม่ กลายเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ธุระของฉันไปเสียแล้ว คนที่ลุ่มหลงการพนันขนาดหนักนี้หนัก ๆ เข้า ก็บ้านแตกสาแหรกขาด ต้องทิ้งขว้างร้างหย่าจากกันไป ครอบครัวใด หากสามีภรรยาเป็นผีพนันด้วยกันทั้งคู่ บาปกรรมก็ตกมาที่ตัวลูก ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างดีเท่าที่ควร อาจจะเสียคนได้ตั้งแต่วัยเด็ก อาจจะไปมีแฟนเมื่ออายุยังน้อย อาจจะหนีตามกันไปโดยมิได้แต่งงาน อาจจะกลายเป็นนักการพนันตามพ่อแม่ไปด้วย เพราะได้เห็นสิ่งเลวทรามเหล่านั้นติดตามาตั้งแต่ยังเด็ก และมีมิจฉาทิฐิเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามที่ตนเองต้องเจริญรอยตามพ่อแม่ไปด้วย เพราะได้เห็นสิ่งเลวทรามเหล่านั้นติดตามาตั้งแต่ยังเด็ก และมีมิจฉาทิฐิเห็นว่าเป็นสิ่งดีงามที่ตนเองต้องเจริญรอยตามพ่อแม่ไปด้วย

18) หุนหันพลันแล่น คนประเภทนี้ เป็นพวกใจร้อน ใจด่วนได้ เมื่ออารมณ์โกรธ หรือโทสะจริตเป็นเจ้าเรือนอยู่เสมอ หากพอใจอะไรก็ทำได้ หากไม่พอใจก็สะบัดก้นลุกเดินหนีไปทันทีได้เช่นเดียวกัน โดยไม่มีอาการเสียดงเสียดายอะไรเลย คนประเภทนี้บางทีเมื่อดีก็ดีใจหาย เมื่อร้ายก็ร้ายแสนเลยทีเดียว หากต้องการจะเป็นนักบริหารที่ประสบความสำเร็จ ไม่ล้มเหลว บุคคลประเภทนี้จะต้องฝึกจิตใจเสียใหม่ ให้เยือกเย็น สุขุมคัมภีรภาพ ไม่ใจเร็วด่วนได้อย่างแต่ก่อนอีก การจึงจะสำเร็จอีก

19) จิตใจโลเล คนประเภทนี้เป็นคนเหลาะแหละ เหมือนกับ "ไม้หลักปักเลน" อยู่แล้ว หลักนั้นย่อมโอนเอนไปมาเสมอ ไม่ตรึงแน่นอยู่กับพื้นได้ เนื่องจากเลนนั้นอ่อนเหลว หลักย่อมล้ม หรืออาจจะหลุดลอยไปจากพื้นเลนได้โดยง่าย การประพฤติตนเป็นคนโลเล เหลาะแหละ ไม่เอาจริงเอาจังในเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น คนย่อมไม่เคารพนับถือ เมื่อเชื่อถือในถ้อยคำ แล้วจะไปบริหารงานให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร ก็ต้องประสบกับความล้มเหลววันยันค่ำ หากต้องการความสำเร็จ ต้องเลิกละนิสัย "โลเล" นี้ให้ได้อย่างเด็ดขาด

20) อิจฉาริษยา คนขี้อิจฉานั้น คือคนที่เห็นคนอื่นดีกว่าตนแล้วทนไม่ได้ รู้สึกเดือดร้อน ไม่สบายใจ เกิดอาการริษยาตามมาอีก คือไม่อยากให้เขาดีไปกว่าตน อยากให้เขาเกิดความพินาศ ล้มเหลว หากเขาเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะสุขสมในอารมณ์เป็นอันมาก เพราะการณ์เป็นไปสมตามที่ตนเองได้สาปแช่งเขาเอาไว้ คนประเภทขี้อิจฉานี้ ที่จริงแล้ว แทบจะไม่สามารถหาความสุขในชีวิตได้เลย เพราะเป็นคนที่ไม่เคยคิดดีๆ ต่อใคร ไม่เคยรู้จักคำว่า "ให้ ให้อภัย เมตตา กรุณา มุทิตา" แต่มีความอยากให้เขาเป็นทุกข์ ให้เขาเจ๊ง ให้เขาพัง ให้เขาเสียชื่อเสียง เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ แล้วตนเองกลับเป็นสุข และเมื่อเห็นเขาเป็นสุข ก็พลอยอิจฉาตาร้อน ไม่อยากให้เขาได้รับความสุขนั้นเพราะตนเองมีแต่ทุกข์ และอยากให้เขาได้รับความทุกข์เหมือนตนหรือมากกว่าตน

21) นอกรีตดื้อรั้น คนนอกรีต นอกรอย นั้นคือ คนที่ไม่ยอมประพฤติตามจารีต ตามประเพณีที่ดีงาม ที่คนเก่ารุ่นก่อน ผู้ใหญ่รุ่นปู่ย่าตาทวดเขาได้สร้างสรรค์ขนบประเพณีที่ดีงามเอาไว้คนที่เป็น พวกนอกรีต และหัวดื้อหัวรั้น ผู้ใหญ่บอกก็ไม่ฟัง สั่งก็ไม่เชื่อ ชอบเถียง ชอบโต้แย้ง ชอบขัดขืนคำสั่ง (โดยชอบ) ของผู้บังคับบัญชาเสมอ ผู้ใหญ่ย่อมไม่พึงพอใจ เห็นว่ากระด้างกระเดื่อง ไม่เชื่อฟัง ทำให้เกิดความเสียหายในการปกครองบังคับบัญชา คนประเภทนี้เจริญได้ยาก การประพฤติตนอยู่ในรีตนั้นเป็นสิ่งดี กระทำตามๆ กันมา ชนิดที่เรียนกว่า "เดินตามผู้ใหญ่ หมาไม่กัด" แต่หากเป็นการอยู่ในรีตไปทุก ๆ เรื่อง คนเก่าคนก่อนเขาทำมาอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ไม่ยอมปรับปรุงเปลี่ยนอะไรเสียเลย ก็สร้างปัญหาได้เหมือนกัน เพราะสังคมนั้นจะประกอบไปด้วยบุคคลประเภท "ไดโนเสาร์เต่าล้านปี" ที่ไม่ยอมปรับเปลี่ยนอะไรให้รับกับยุคสมัยใหม่เสียบ้างเลย ฉะนั้นคำว่า "นอกรีต" นั้น มีความหมายสองนับ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว นัยหนึ่งนั้นการนอกรีต เป็นเรื่องเสียหาย แต่อีกนัยหนึ่ง การนอกรีตนอกรอย ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้างเหมือนกัน

สรุป หากอยากเป็นนักบริหารที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ต้องทำตัวให้ห่างไกลจาก ความล้มเหลว 21 ประการ ที่ท่านกว๋อฉางได้กล่าวเอาไว้นี้ให้จงได้ และทำตนให้ตรงข้ามด้วยการใฝ่ฝัน กระทำตนมุ่งหน้าไปสู่ความสำเร็จให้จงได้

ศัพท์บัญญัติมหาวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยปิด :
สถานที่ที่หนึ่ง เข้าก็ยาก ออกก็ยาก เป็นที่โปรดปรานของบิดามารดา เวลาออกมาแล้วได้กระดาษมาคนละแผ่น เรียกว่าใบปริญญา อาจมีความรู้แถมมาด้วยเล็กน้อย

มหาวิทยาลัยเปิด :
ตรงกันข้ามกับอันแรก เข้าง่าย แต่ออกยากกว่ามหาวิทยาลัยปิด ได้ใบปริญญามาเช่นกัน แต่คุณค่าต่ำกว่าอันแรกโดยใช้ค่านิยมเป็นตัวตัดสิน

ปริญญาบัตร :
เอาไว้ยืนยันการเลือกงานตามสาขาและระดับที่ร่ำเรียนมา ต่ำกว่านั้นไม่ได้ ห้าม…เสียศักดิ์ศรีหมด

คณะ :
หมวดหมู่ของวิชา เลือกเรียนได้ตามความถนัด สนใจ พอใจ คะแนนเอนท์ฯ และความพอใจของท่านบิดามารดา

บิดามารดา :
เรียกอีกอย่างว่าผู้ปกครอง มักบอกลูกตัวเองว่าให้เลือกเรียนตามความถนัด จะเอาแพทย์จุฬาฯ เภสัชมหิดล อักษรจุฬาฯ หรือนิติธรรมศาสตร์ก็ได้ เลือกเอานะลูก…

กิจกรรม :
เอาไว้ฝึกแบ่งเวลาและฝึกเข้าสังคม ควรเพลาๆ ลงเมื่อได้ F เกินสามตัวต่อปี

รับน้องใหม่ :
กิจกรรมหนึ่ง มักมีขึ้นช่วงก่อนมหาวิทยาลัยเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง เป็นการสร้างความสมัครสมานสามัคคีและความสนิทสนมให้แก่รุ่นน้องและรุ่นพี่ ถ้ามีหลังเปิดภาคเรียนเรียกว่าว้าก

ว้าก :
กิจกรรมตอนเย็นๆ ที่มีมาแต่โบราณกาล ปัจจุบันก็ยังมีหลงเหลือให้เห็นอยู่แยะ มักมีขึ้นช่วงเย็นๆ ถึงดึกๆ เป็นการทำให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะและเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพโดยใช้คำผรุสวาทและมีกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้มากมาย เด็กใหม่ทุกคนต้องเข้า และต้องแต่งชุดเหมือนกันหมด เข้าทุกวันไม่ว่าจะมีสอบย่อยหรือมีเรียนตอนเช้าวันรุ่งขึ้น …ไม่เข้าใช่มั๊ย…ประเดี๋ยวเถอะ…สิบชุดเล็ก…ยี่สิบเอ็ดชุดใหญ่…ปฏิบัติ!

ว้ากเกอร์ :
บุคคลกลุ่มหนึ่ง เสียงดี ไอเดียเยี่ยม แสดงละครเก่ง ทำให้รุ่นน้องสามัคคีกันเป็นงานอดิเรก ตอนที่อยู่ในระหว่างเทศกาลว้าก คนกลุ่มนี้จะไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ไร้ความร่าเริงไม่คุยกับเด็กปีหนึ่ง ทำหน้าตายได้อย่างเดียว

หลุด :
อาการที่ว้ากเกอร์ทำกิริยาอาการอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งอยู่นอกเหนือข้อห้ามข้างบน หรือผิดคิวระหว่างว้าก

เสรีภาพ :
สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงในมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้างทางความคิด คิดได้อย่างเดียว คิดเข้าไปเถอะ แต่อย่าทำ

เสมอภาค :
สิ่งที่ถูกอ้างว่ามีอยู่จริงในมหาวิทยาลัย แต่ถูกจำกัดด้วยคำว่า Seniority และ Instructor

ภราดรภาพ :
สิ่งที่อาจมีอยู่จริง แต่ยังไม่มีใครมองเห็นและนำมาใช้

เฟรชชี่ :
ผ้าขาว สดใส น่ารัก หน้าตาอ่อนใส ไร้เดียงสา ที่สำคัญต้องใส่รองเท้าสีขาว เป็นคำจำกัดความของเด็กที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ยังไม่แก่โลก และถูกชักจูงง่ายมาก บอกอะไรเชื่อหมด …หลอกง่ายดี…ชอบ

ประชุมเชียร์ :
โดยปกติมักจัดเวลากินข้าวเย็นถึงเวลานอน เรียกมาให้พร้อมหน้ากัน แล้วร้องเพลงเชียร์ มักอยู่คู่กับประเพณีว้าก

เพลงเชียร์ :
สิ่งปลุกใจเฟรชชี่ให้เกิดความรักพวกพ้อง รักรุ่นพี่ รักคณะตัวเอง คณะอื่นไม่เกี่ยว ไม่ดี ไม่ได้เรื่อง คณะเราดีที่สุด…อย่ามายุ่งนะ

นักศึกษา :
คนกลุ่มหนึ่ง มีหน้าที่เรียน เรียน และเรียน แต่มีบางส่วนที่ลืมตัว เผลอเอาเวลามาทำกิจกรรมจนไม่มีเวลาไปเรียน

รุ่นพี่ :
ปูชนียบุคคล ไหว้ได้ถ้าจำเป็น ต่างกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นิดเดียว คือเมื่อเวลาเดินผ่านแล้วไม่ทักทายอาจโดนข้อหาหนักได้

ชุดนักศึกษา :
นิยมแต่งเฉพาะช่วงสอบ

หอพักนักศึกษา :
แหล่งซ่องสุมกำลังอย่างดีของนักศึกษา มีครบทุกอย่างที่กฎของหอพักห้าม มักอยู่ไกลจากตึกเรียนไม่ต่ำกว่าหนึ่งกิโลเมตร

อาคารเรียน :
สถานที่ควรให้ความเคารพ ห้ามแต่งกายไม่สุภาพยกเว้นสายเดี่ยวหรือขาสั้น มักมีศาลอยู่ด้านหน้า ช่วงสอบจะมีพวงมาลัยหลากสีสัน และขนมต้มแดง ขนมต้มขาว

จักรยาน :
พาหนะยอดนิยมของนักศึกษา อาจอัพเกรดเป็นจักรยานยนต์ได้ถ้ากระเป๋าหนัก

รถยนต์ :
พาหนะของนักศึกษาบางกลุ่มที่บ้านอยู่ไกล แต่ไม่มีสตางค์จะเช่าหอพัก

เวลาเรียน :
กำหนดเวลาเข้าห้อง สายได้ไม่เกินที่อาจารย์กำหนด และอาจโดนแบน โดยการล็อคห้อง ไม่ให้เข้า

ก่อนสอบ :
เวลาที่มีเสียงบ่นงึมๆ ระงม บ้างก็ท่องสูตรเคมี บ้างก็บ่นว่าอ่านหนังสือไม่ทันแต่ไม่อยากอ่าน

สอบ :
เวลาตายของใครบางคน อิ อิ…

หลังสอบ :
เวลาที่ควรเปิดหนังสือวิชาที่เพิ่งสอบเสร็จไป มานั่งอ่านอย่างขะมักเขม้น

F : เกรดเกรดหนึ่ง
หนึ่งตัวมีค่าเท่ากับเงินค่าหน่วยกิตของวิชาที่ได้เกรดนั้น และเวลาที่เรียนไปทั้งเทอม

A : เกรดที่บางครั้งได้ไม่เท่ากัน
ในแต่ละปี ตามแต่ใจอาจารย์ บางครั้งคะแนนสูงกว่า B+ นิดเดียว

จบ :
คำพูดสั้นๆ ของอาจารย์ เมื่อเวลาที่เราเรียนครบตามหน่วยกิตที่กำหนด อาจเกินสี่ปีได้ในบางกรณี

เกียรตินิยม :
เหมือนกีฬาโอลิมปิก มีการชิงเหรียญทอง แถมแว่นตา และข้อความในประกาศเพิ่มอีกสองสามประโยค

กระเป๋าหลุยส์ฯ :
เหมาะสำหรับนักศึกษาที่ไม่มีเงินจะซื้อกระเป๋าถูกๆ ใช้ บังเอิญมีแต่บัตรเครดิตน่ะฮ่ะ

เทคนิคการหางานทำ

สำหรับท่านที่ได้ผ่านขั้นตอนการสัมภาษณ์ไปแล้ว ก็เปรียบเสมือนนาทีทองของคุณได้จบไปแล้ว ในช่วงนี้จะเป็นช่วงเวลาแห่งการรอคอยการตัดสินใจจากทางหน่วยงานว่า เขาจะพิจารณาคัดเลือกคุณเข้าทำงานกับเขาหรือไม่

ในช่วงแห่งการนั่งรอคอยนี้ คุณอาจจะอยากทราบว่านายจ้างเขาใช้มาตรการอะไรมาเป็นเครื่องตัดสินว่า ควรจะเลือกใครที่มีความเหมาะสมที่สุดเข้าทำงาน เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงตัวของคุณให้เขากับความต้องการของเขา มากขึ้น หัวข้อประเมินมีดังต่างๆ กัน ดังนี้

แนวทางประเมินผู้สมัครงาน
บริษัทแต่ละแห่งอาจมีวิธีประเมินผู้สมัครงานต่างกันออกไป บางหน่วยงานก็ประเมินผู้สมัครตามหัวข้อสั้นๆ ท่อท้าย แบบฟอร์มการสมัครงาน โดยใช้วิธีให้คะแนนจาก 1 ถึง 10 (ให้ 10 แทนคะแนนความเห็นว่า "ดีเลิศ" และ 1 แทน "ไม่ดี") แต่บางบริษัทก็ให้คะแนนเป็น A B C D E และมีช่องแสดงความคิดเห็นว่าควรจ้างหรือไม่

ในกรณีที่มีผู้สัมภาษณ์หลายคน ก็อาจจะใช้วิธีรวมคะแนนจากผู้สัมภาษณ์ทุกๆ คนในแต่ละหัวข้อเป็นคะแนนรวมของผู้สมัครแต่ละคน เพื่อเปรียบเทียบกับผู้สมัครคนอื่นได้

การประเมินความประทับใจ
นับตั้งแต่พฤติกรรมที่ไม่ใช่คำพูด และพฤติกรรมที่เป็นคำพูดในลักษณะต่างๆ รวมทั้งสิ่งที่ควรหรือไม่ควรพูดในช่วงการสัมภาษณ์ ซึ่งจะถูกสรุปรวมเข้าเป็นลักษณะทางบุคลิกภาพต่างๆ ของคุณดังนั้น เมื่อสังเกตให้ดี คุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทุกบทที่เขียนมาตั้งแต่ต้น ได้พยายามเตรียมพร้อมให้คุณเพื่อให้ผ่านการสัมภาษณ์อย่างพร้อมที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ทางด้านร่างกายหรือจิตใจ ถ้าคุณทำ "การบ้าน" ทุกขั้นตอน คุณจะไม่ประสบความลำบากใจในการถูกประเมินจากผู้สัมภาษณ์เลย

อย่างไรก็ตาม ก็อย่างที่เคยกล่าวไว้แล้วว่า เราคงไม่สามารถรับประกันคุณได้ 100% ว่าถ้าทำตามทุกขั้นตอนแล้วคุณจะได้งาน เพราะมีตัวแปรแทรกซ้อนมาเกี่ยวข้องด้วยมากมายเหลือเกิน ตัวอย่างเช่น อคติจากผู้สัมภาษณ์เองในข้อนี้หมายความว่า คุณต้องเข้าใจว่าผู้สัมภาษณ์ก็ยัง เป็นมนุษย์ปุถุชนที่มีกิเลศ ตัณหา อุปาทาน ดังนั้น เมื่อเขาเห็นหน้าตาตื่นๆ และวิตกกังวลสูงของคุณ หรือเผอิญดูหน้าตาของคุณแล้วเหมือนศัตรูคู่แค้นเก่าของเขา เขาก็อาจจะเกิดความไม่ประทับใจขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

อย่างนี้ทางจิตวิทยา เรียกว่า Halo Effect คือพอเห็นหน้าใคร เราก็อาจเกิดความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบขึ้นมาได้ โดยที่คนๆ คนนั้นยังไม่ทันได้พูดอะไรเลย เป็นต้น ซึ่งถ้าเขาเกิดรู้สึกไม่ชอบคุณขึ้นมาเช่นนี้ ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะตอบอะไรให้มันเลิศลอยสักเพียงใดก็ตาม ถ้าเป็นกรณีนี้ก็ถือเสียว่าเป็นกรรมเก่าก็แล้วกัน และตั้งหน้า ตั้งตาหางานใหม่ต่อไป

สาเหตุอีกประการหนึ่งก็คือ เขามีคนของเขาอยู่เรียบร้อยแล้ว การสัมภาษณ์คุณหรือผู้สมัครคนอื่นๆ เป็นเพียงเกมชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น เขาย่อมจะต้องให้คะแนน "เด็ก" ของเขาสูงกว่าคุณยังค่ำ

การไม่ได้งานของคุณทั้ง 2 กรณีที่กล่าวมาแล้ว จึงไม่ใช้เป็นความผิดพลาดอะไรจากตัวคุณเลย แต่เป็นเรื่อง ของ "ฟ้าลิขิต" มากกว่า และคุณก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะ "โวย" อะไรได้ด้วย จัดเป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้จริงๆแต่ถ้าการไม่ได้งาน เกิดจากการตกสัมภาษณ์หรือมีสาเหตุมาจากตัวคุณเอง อาจจะหมายความว่า คุณมี ลักษณะบางอย่างที่ไม่เหมาะสมที่จะรับตำแหน่งนั้นๆ ก็ได้ ในช่วงนี้ จึงอยากขอให้คุณมาพิจารณาดูเหตุผลใน

การตกสัมภาษณ์ที่ผู้รู้ทั้งหลายได้รวบรวมไว้ ดังนี้

เหตุผลที่ตกสัมภาษณ์
1. พฤติกรรมที่ไม่ใช่คำพูด

1. แต่งกายสกปรก ไม่สุภาพ ไม่เหมาะสมและรกรุงรัง
2. หลุกหลิก ไม่มีสัมมาคารวะ
3. ท่าทางจะยืนนิ่ง ขาดความมั่นใจ วิตกกังวล ลุกลี้ลุกลน
4. ไม่กล้าสบสายตาผู้สัมภาษณ์ มือไม้สั่นไปหมด
5. ดูห่อเหี่ยว เฉื่อยชา ขาดชีวิตจิตใจ เซื่องซึม
6. ระหว่างการสัมภาษณ์ แสดงกิริยาน่ารังเกียจ เช่น ถ่มน้ำลาย สูบบุหรี่จัด
7. วางท่ามากเกินไป หรือดูคล้ายสำรวย เหยียดผู้อื่น ทำให้เกิดความรู้สึกว่าคงจะเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ลำบาก

2. พฤติกรรมที่เป็นคำพูด
1. อ้ำอึ้ง ขาดการเตรียมตัว แม้กระทั่งเรื่องของตัวเองก็ยังเล่าไม่ได้หรือเล่าสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก
2. ต่อปากต่อคำโต้แย้งกับผู้สัมภาษณ์ ขาดเหตุผลและใช้อารมณ์
3. พูดมากไป พูดไม่หยุดเกี่ยวกับตนเอง และโอ้อวดเกินไป
4. ซักถามเรื่องส่วนตัวของผู้สัมภาษณ์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับงานเลย หรือสนใจถามเกี่ยวกับสวัสดิการมากว่าเรื่องงาน
5. พูดไปหัวเราะไป เส้นตื้นทุกเรื่อง
6. ขาดจุดยืน ใครจะพูดอะไรก็เห็นด้วยกับเขาไปเสียหมด เหมือนเป็นคนไม่มีความคิดริเริ่มของตัวเอง
7. พูดจาไม่สุภาพ ก้าวร้าว ภาษาที่ใช้ไม่เหมาะสม พูดไปสบถไปหรือสลับด้วยการด่าทอเป็นระยะ
8. ตอบคำถามไม่กระจ่าง ไม่ตรงจุด และพูดไม่รู้เรื่อง วกวน
9. เล่าแต่ปัญหาของตนเอง และขอความเห็นใจในลักษณะต่างๆ
10. ขอค่าจ้างแพงลิ่ว
11. พูดคล้ายไม่ให้ความสำคัญในการสัมภาษณ์ งาน ประเภทมาลองดูเล่นๆ
12. ขาดไหวพริบ ปฏิภาณ ไม่รู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร เช่นไปบอกเขาว่า สมัครที่ไหนก็ตกสัมภาษณ์ทุกที จะมาทำงานเพียงชั่วคราว หรือพ่อบังคับให้มาสมัครงานที่นี่
13. แสดงความคิดเห็นรุนแรง เช่น จะเปลี่ยนหรือต่อต้านระบบเก่าๆ

3. ขาดความรู้ในด้านต่างๆ

1. ขาดความรู้เกี่ยวกับตัวเอง ไม่รู้จุดเด่น ความ สามารถ ฯลฯ เขาถามอะไรก็ตอบไม่ถูก
2. ขาดจุดมุ่งหมายของชีวิตหรืออาชีพ แสดงลักษณะคล้ายปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม
3. ขาดความรู้เกี่ยวกับบริษัท ไม่รู้บริษัททำอะไร หรือต้องการสมัครตำแหน่งใด ปรัชญาหรือจุดยืน ของบริษัทเป็นอย่างไร
4. ขาดความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาวิชาที่ควรรู้ หรือมีความรู้ไม่แน่นพอ เช่น จบบัญชี แต่พอเขาถามเกี่ยวกับบัญชีก็ตอบไม่ถูก
5. ขาดความเป็นผู้ใหญ่ หวั่นไหวง่าย กระทบ อะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้ พร้อมที่จะแตกสลายทุกเมื่อ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าจะรับเหตุการณ์กดดันอะไรจากหน้าที่การงานลำบาก

4. ข้อปลีกย่อยอื่นๆ เช่น
1. นิสัย (ไม่ดี) บางประการ เช่น รักความสนุกสนาน ไม่สู้งาน ชอบเที่ยวมากว่าทำงาน แสดงความเป็นคนฟุ่มเฟือย
2. พื้นฐานของครอบครัว มีปัญหามากกับทางบ้าน
3. ผลการเรียนอ่อนมาก ทำให้อาจมองไปได้ว่าไม่ฉลาด นัก สอนงานคงลำบาก ฯลฯ


หลังจากอ่านจบแล้ว ถ้าคุณมีความรู้สึกหลายข้อเหลือเกิน ก็อย่าเพิ่งท้อใจ ได้บอกแล้วไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า คนเรานั้นไม่มีใครสมบูรณ์ ถ้าคุณมีทุกอย่างครบตามที่กล่าว ถึง ก็คงไม่ต้องมาอ่านหนังสือเล่มนี้การที่รู้ว่าตัวเองมีข้อบกพร่องอยู่นั้น นับเป็นสิ่งที่ดีเพราะคุณจะได้ขวนขวายปรับปรุงตัวเองเสียใหม่เพื่อให้สมบูรณ์ขึ้นกว่าเดิม แทบทุกข้อที่ได้กล่าวถึง ล้วนเป็นสิ่งที่คุณ แก้ไขได้เองทั้งสิ้น เช่น

- ถ้าขาดการเตรียมตัว ไม่รู้จักตัวเองหรือหน่วยงาน คุณก็สามารถแก้ไขได้ (ขอให้กลับไปอ่านบทเก่าๆ ที่ผ่านมา)
- กิริยามารยาทตั้งแต่เรื่องภาษา ร่างกาย การ ใช้คำพูดก็ให้ระวังไว้ (โปรดอ่านในเรื่องการเตรียมตัวก่อนสัมภาษณ์)
- ความรู้ด้านเนื้อหาวิชา หรือความรู้รอบตัวก็ควรมีการเตรียมตัว ถ้าไม่รู้ก็ไปขวนขวายหามา ซึ่งไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรงคุณไม่ใช่ไหม?
- ถ้าใจจิตใจมีแต่ความประหม่ากลัวจะตอบผิดตอบถูก วิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือ ลองให้เพื่อนหรือใครก็ได้ที่รู้จัก ถามคุณด้วยคำถามที่ให้ในบทสัมภาษณ์ เพื่อให้คุณเกิดความรู้สึกเคยชินกับการสัมภาษณ์มากขึ้น และ เมื่อทำเสร็จแล้วลองให้เขาประเมินคุณดูว่า ในสายตาของเขานั้น คุณ "ผ่าน" หรือ "ไม่ผ่าน" ในข้อใด เมื่อรู้แล้วก็จะได้ปรับปรุงตัวเองในข้อนั้นให้ดียิ่งขึ้นเท่าที่ได้กล่าวมาก็เป็นสิ่งที่คุณได้ทราบแล้วว่า บุคลิก ลักษณะอย่างไรที่นายจ้างเขาไม่พึงปรารถนา และทำให้คุณไม่ผ่านสัมภาษณ์ ต่อไปนี้คุณก็ควรจะรู้บ้างถึงลักษณะของคนประเภทใดที่ทางหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นทางราชการ ธุรกิจเอกชนเขาปรารถนา